วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ นำทีมคอมมานโดบุกจับนักค้ายาที่สหรัฐฯ ต้องการตัวได้ที่ภูเก็ต



พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ที่ปรึกษาผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด นำทีมคอมมานโดบุกจับ นายโจเซฟ มานูเอล ฮันเตอร์ นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ ที่สำนักงานรักษาความมั่นคงทางการทูต สอท.สหรัฐอเมริกา ต้องการตัวได้ที่จังหวัดภูเก็ต
      
       เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 25 ก.ย.56 พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ โชติมา ผบช.ปส. และเจ้าหน้าชุดจับกุมและเจ้าหน้าที่ตำรวจคอมมานโดจากกรุงเทพฯ รวมทั้ง พ.ต.ท.ชิดชนก สาครเย็น สว.ตม.ภูเก็ต และ ร.ต.อ.อังคาร ยะสะนพ รองสว.ตม.ภูเก็ต บุกเข้าจับ Mr.Joseph Manuel HUNTER (โจเซฟ มานูเอล ฮันเตอร์) สัญชาติอเมริกา ถือหนังสือเดินทางหมายเลข 488453722 อดีตหน่วยรบพิเศษกองทัพสหรัฐอเมริกา ผู้ต้องหาคนสำคัญที่สหรัฐอเมริกาต้องการตัว สามารถจับกุมได้ที่ภายในบ้านเช่าหรูหรา เลขที่ 34 หมู่บ้านการ์เด้นวิลล่า ติดสนามกอล์ฟล็อคปาล์ม ต.กะทู้ อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ตาม พ.ร.บ.ตรวจคนเข้าเมือง พร้อมพวกอีก 5 คน
      
       สำหรับการเข้าจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องสำนักงานรักษาความมั่นคงทางการทูต สอท.สหรัฐอเมริกา มีหนังสือลงวันที่ 16 ก.ย.2556 แจ้งข้อมูล Mr.Joseph Manuel HUNTER (โจเซฟ มานูเอล ฮันเตอร์) อายุ 48 ปี สัญชาติอเมริกา ถือหนังสือเดินทางหมายเลข 488453722 ซึ่งได้ถูกศาล U.S.District Court for the southern District of NEW YORK ออกหมายจับเมื่อวันที่ 17 ก.ค.2556 ในข้อหาการนำเข้ายาเสพติด โดยทางการกงสุลใหญ่ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เพิกถอนหนังสือเดินทางหมายเลข 488453722 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และทางสำนักงานรักษาความมั่นคงทางการทูต สอท.สหรัฐอเมริกาได้ประสานมายังกองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้ติดตามจับกุมผู้ต้องรายนี้มาดำเนินคดีให้โดยเร็วที่สุด
          โดยจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พบว่า Mr.Joseph Manuel HUNTER (โจเซฟ มานูเอล ฮันเตอร์) สัญชาติอเมริกา เกิดวันที่ 9 พ.ค.2508 ถือหนังสือเดินทางหมายเลข 488453722 เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 6 ก.ย.2556 ทางสนามบินนานาชาติจังหวัดภูเก็ต โดยวีซ่า ผ.30 ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ 5 ต.ค.56 นี้ ซึ่งการอนุญาตยังไม่สิ้นสุด
      
       ในส่วนการจับกุมในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้เดินทางมาจากกรุงเทพมหานคร เพื่อที่จะเข้าจับกุมผู้ต้องหารายนี้ให้ได้ เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นรายสำคัญที่สำนักงานรักษาความมั่นคงทางการทูต สอท.สหรัฐอเมริกาต้องการตัว โดยปฏิบัติการในลักษณะชั้นความลับสูงสุด แม้แต่ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอ และจังหวัดไม่ทราบเรื่องมาก่อน นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวว่าได้มีการวางแผนจับกุมมิจฉาชีพข้ามชาติที่มีส่วนพัวพันกับผู้ต้องรายแรกนี้ โดยจะแบ่งกำลังเจ้าหน้าที่ไปยังพื้นที่ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต เพื่อสืบสวนหาข่าวต่อไป


ข้อมูลจาก.. ASTV Manager ภาคใต้

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

คนร้ายบุกเจาะตู้เซฟห้างทองคำย่านหาดป่าตอง



คนร้ายบุกเข้าร้านทองคำเยาวราช 9 ต.กะทู้ จ.ภูเก็ต ยามดึก ตัดสายไฟกล้องวงปิด ขนอุปกรณ์เชื่อมเหล็กหวังเจาะตู้เซฟ แต่ไม่สำเร็จเพราะอุปกรณ์ตัดเหล็กแก๊สดันหมดกลางคัน จึงเก็บของหนีไปในที่สุด ด้านตำรวจเผยทรัพย์สินภายในร้านยังอยู่ครบ คาดคนร้ายมีไม่ต่ำกว่า 3 คน และมีความชำนาญ เร่งสั่งเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนค้นหาพยานหลักฐาน นำตัวมาดำเนินคดีเร็วที่สุด
      
       เมื่อเวลา 08.56 น. วันที่ 15 ก.ย.56 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กะทู้ ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ได้รับแจ้งจาก น.ส.นุชนภา เจษฎารักษ์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลห้างทอง ทองคำเยาวราช 9 ว่า มีคนร้ายพยายามจะเจาะตู้เซฟห้างทอง ทองคำเยาวราช 9 เลขที่ 88 ถ.ไสน้ำเย็น ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ขอให้เดินทางไปตรวจสอบ หลังรับแจ้งจึงรายงายผู้บังคับบัญชา ก่อนรุดตรวจสอบ พร้อมด้วย พ.ต.อ.อรุณ แกล้ววาที รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พ.ต.อ.จิรภัทร โพธิ์ชนะพันธุ์ ผกก.สภ.กะทู้ พ.ต.ท.นิกร ชูทอง สวป.สภ.กะทู้ พ.ต.ท.สมศักดิ์ ทองเกลี้ยง สว.สส.สภ.กะทู้ เจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ชุดสืบ สภ.กะทู้ อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต รุดไปตรวจสอบเพื่อเก็บลายนิ้วมือแฝง
      
       ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้นครึ่ง ซึ่งเป็นห้างทอง ทองคำเยาวราช 9 เลขที่ 88 ถ.ไสน้ำเย็น ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต พบร่องรอยคนร้ายมากกว่า 3 คนขึ้นไปร่วมกันงัดแงะกระเบื้องหลังคาของร้านแล้วมีการปืนเข้าไปในร้าน จากนั้นขนอุปกรณ์เข้าไปมากมายเพื่อจะเจาะเซฟขโมยทองคำ แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากระหว่างที่กำลังเปิดตู้เซฟแก๊สที่ใช้ตัดเหล็กเกิดหมด
      
       ด้าน น.ส.นุชนภา เจษฎารักษ์ อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 32/7 ซ.ลาดพร้าว 23 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้ดูแลร้าน และเป็นพี่สาวของเจ้าของร้าน เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 14 ก.ย.56 ตนเองได้ปิดร้านตามปกติซึ่งที่ร้านไม่มีใครพักอยู่ภายในร้าน ตนจึงได้เดินทางกลับบ้านตามปกติ จากนั้นในเวลา 08.50 น. วันนี้ (15 ก.ย.) ตนเองได้เดินทางมาเปิดร้านตามปกติ ซึ่งประตูหน้าร้านได้ปิดตามปกติไม่มีร่องรอยการงัดแงะ แต่ได้กลิ่นเหม็นไหม้ จึงคิดว่าไฟไหม้ จากนั้นได้เปิดประตูเข้าไปห้องเก็บทองถึงกับตกใจ เนื่องจากพบร่องรอยการใช้อุปกรณ์ตัดเหล็กพยายามเจาะตู้เซฟ ตนจึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบในที่สุด อีกทั้งยังรู้สึกดีใจที่คนร้ายไม่สามารถนำทองคำไปได้ อย่างไรก็ตาม ก็แอบหวั่นใจเพราะทางร้านได้มีระบบการป้องกันอย่างรัดกุม แต่คนร้ายยังสามารถเข้าก่อเหตุได้
      
       ขณะที่ พ.ต.อ.จิรภัทร โพธิ์ชนะพันธุ์ ผกก.สภ.กะทู้ กล่าวว่า คนร้ายมีมากกว่า 3 คนขึ้นไป และรู้ความเคลื่อนไหวของร้านตลอดเวลา ซึ่งคนร้ายได้ถังแก๊สขนาดประมาณ 50 กิโลกรัม จำนวน 2 ถัง สายยางสำหรับเชื่อมเหล็ก จำนวน 1 เส้น ต่อเชื่อมเข้าด้วยกัน และอุปกรณ์อื่นๆ จำพวกช่าง เช่น ชะแลง ไขควง และอุปกรณ์อื่นๆ อีกหลายชิ้น โดยคนร้ายใช้อุปกรณ์ตัดเหล็กที่มีความร้อน ตัดเหล็กที่ประตูกรงเก็บตู้นิรภัยจนสามารถเปิดประตูกรงออกได้ จากนั้นพยายามตัดเหล็กประตูตู้นิรภัยที่มีอยู่ 3 ตู้ ทั้งนี้ คนร้ายพยายามตัดเพื่อเปิดเพียงตู้เดียว แต่ตัดไม่สำเร็จ จึงสันนิษฐานว่า แก๊สที่บรรจุในถังหมดเสียก่อน นอกจากนี้ ยังพบพฤติกรรมของคนร้ายได้ทำการตัดสายไฟบริเวณตู้มิเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งอยู่หน้าร้านก่อนก่อเหตุด้วย ทำให้กล้องวงจรปิดในร้านไม่สามารถบันทึกภาพภายในร้านขณะคนร้ายก่อเหตุได้
      
       พ.ต.อ.จิรภัทร กล่าวต่อไปอีกว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจสอบตู้นิรภัยทั้ง 3 ตู้อย่างละเอียดแร้ว จากนั้นจึงให้ น.ส.นุชนภา เจษฎารักษ์ ผู้ดูแลร้านได้เปิดตรวจสอบทองคำในตู้นิรภัย 2 ตู้ ที่ไม่มีร่องรอยการตัดเหล็ก และพบว่าทองคำยังอยู่ครบตามปกติ แต่ตู้นิรภัยที่ 3 ไม่สามารถตรวจสอบได้เนื่องจากกลไกของตู้ได้ล็อกอัตโนมัติแล้ว จึงไม่สามารถทราบได้ว่าทองคำยังอยู่ครบหรือเปล่า แต่คาดว่าคนร้ายไม่น่าจะได้ทองคำไปได้ เนื่องจากเปิดตู้นิรภัยไม่สำเร็จ พร้อมได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนลงพื้นที่หาข้อมูล และหลักฐานให้อย่างครบถ้วน เพื่อที่จะหาตัวคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็วที่สุด


ข้อมูลจาก.. ASTV Manager ภาคใต้

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

รวบ 2 ขาใหญ่คุมวินแท็กซี่ป้ายดำหน้าห้างดังภูเก็ต



รมว.ท่องเที่ยวฯ พร้อม ผบ.ตร.แถลงข่าวจับกุมสองขาใหญ่คุมวินแท็กซี่ป้ายดำหน้าห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล ภูเก็ต เผยถูกนักท่องเที่ยวร้องเรียน 16 ประเทศ สร้างภาพลักษณ์ไม่ดีให้การท่องเที่ยวไทย
      
       เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 9 ก.ย.56  ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) นายสมศักย์ ภูริศรีศักดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.และ พ.ต.อ.ชัชชม คล้ายคลึง รอง ผบก.ป.ร่วมกันแถลงผลการจับกุม นายป้อม สุขเกษม อายุ 42 ปี และนายเสริญ สุขเกษม อายุ 52 ปี คนคุมวินแท็กซี่ป้ายดำ บริเวณหน้าห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล จ.ภูเก็ต โดยจับกุมนายป้อมได้ที่หน้าบ้านเลขที่ 130/42 ม.5 ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต ขณะที่ นายเสริญ จับกุมได้หน้าบ้านเลขที่ 57/209 ม.2 ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา
      
       พ.ต.อ.ชัชชม กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากได้รับการร้องเรียน ว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ซึ่งเป็นพี่น้องกัน มีพฤติกรรมเป็นมาเฟียเรียกเก็บค่าหัวคิว และทำร้ายร่างกายผู้ขับขี่รถแท็กซี่ที่ไม่จ่ายค่าหัวคิวให้กับกลุ่มผู้ต้องหา นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมข่มขู่คุกคาม และทำร้ายร่างกายผู้ขับขี่รถแท็กซี่ที่ไม่ใช่รถจากวินที่ตนเองดูแลอยู่ที่เข้ามาส่งนักท่องเที่ยวที่ห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล ซึ่งตรงนี้ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับนักท่องเที่ยวด้วย
      
       จากการสอบสวนนายป้อมให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ยอมรับว่าตนเองดูแลวินรถแท็กซี่ ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของผู้ขับขี่รถแท็กซี่จำนวน 170 คัน โดยทุกคนตกลงว่าจะจ่ายค่าดำเนินการในอัตรา 200 บาทต่อเดือน ซึ่งตนเตรียมที่จะไปยื่นขอจดทะเบียนเป็นสหกรณ์รถแท็กซี่สำหรับดูแลนักท่องเที่ยว แต่กลับมาถูกตำรวจจับกุมเสียก่อน
      
       เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหาร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น และข้อหาร่วมกันกรรโชกทรัพย์
      
       นายสมศักย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้รับการร้องเรียนจากทางสถานทูตกว่า 16 ประเทศ รวมทั้งจากทางโซเชียลเน็ตเวิร์กเกี่ยวกับปัญหารถแท็กซี่ป้ายดำตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ โดยเฉพาะ จ.ภูเก็ต ที่มีพฤติกรรมคุกคามข่มขู่ และทำร้ายร่างกายนักท่องเที่ยว ส่งผลต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศ ตนจึงได้หารือร่วมกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อกำหนดมาตรการต่างๆ ในการแก้ไขปัญหานี้่ ซึ่งทางกระทรวงพร้อมสนับสนุนทั้งกำลังคนและอุปกรณ์เครื่องมือ เข้ามาเสริมมาตรการในการช่วยเหลือดูแลนักท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้เพียงพอต่อการดูแลความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว
      
       ด้าน พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ให้ความสำคัญกับการดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.วุฒิ ลิปตพัลลภ ที่ปรึกษา (สบ10) ลงพื้นที่ดูแลตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ อย่างใกล้ชิด โดยได้มีการบูรณาการกำลังของตำรวจทุกหน่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจยินดีที่จะสนับสนุนการทำงานของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ รวมทั้งระบบดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว อาทิ การจัดหาเฮลิคคอปเตอร์กู้ภัยทางน้ำ


ข้อมูลจาก.. ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เจ้าของเกสต์เฮาส์โร่แจงสื่อ ถูก “เสธ.อ” ข่มขู่หลังซื้อที่ดินเกาะยาวน้อยพังงา



เจ้าของเกสต์เฮาส์โร่แจงสื่อ หลังซื้อที่ดินบนเกาะยาวน้อย จ.พังงา เนื้อที่กว่า 9 ไร่เศษ เป็นระยะเวลากว่า 2 ปี แต่กลับถูก เสธ.ออ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ใช้อิทธิพลเข้าข่มขู่-คุกคาม รวมทั้งพยายามยึดครองสถานที่ ด้านเจ้าตัวมั่นใจในสัญญาซื้อขาย วอนเจ้าหน้าที่รัฐเร่งตรวจสอบ
      
       เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 28 ส.ค.56 ที่โรงแรมชิโนเฮ้าส์ ถ.นริศร ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต น.ส.ญาณกวี เลิศวิบูลย์มงคล เจ้าของธุรกิจเกสต์เฮาส์ พร้อมด้วย นายฐิติพงศ์ บุนนาค ทนายความ เดินทางเข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชน หลังซื้อที่ดินพร้อมร้านอาหารแหลมไทรซีฟู๊ด ต.เกาะยาวน้อย อ.เกาะยาวน้อย จ.พังงา รวมเนื้อที่กว่า 9 ไร่ 53.3 ตารางวา อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่กลับถูกผู้มีอิทธิพลเข้ามาครอบครองพื้นที่ดังกล่าว และโดนกีดกันจนไม่สามารถเข้าไปประกอบกิจการ มิหนำซ้ำ ยังมีนำชายฉกรรจ์จำนวนมากเข้ามาข่มขู่ ประกอบกับมีการอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง สังกัดกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ จึงอยากวิงวอนขอความเป็นธรรมให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาช่วยตรวจสอบ
      
       น.ส.ญาณกวี เลิศวิบูลย์มงคล เจ้าของธุรกิจเกสต์เฮาส์ กล่าวว่า ตอนนี้ทำอะไรไม่ถูก เนื่องจากเกิดความเกรงกลัว เพราะที่ผ่านมา ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแปลงดังกล่าวเดิมเป็นของนายบัญญัติ กล้าสมุทร และนางปวีณา สำเภารัตน์ ได้มีการเสนอขายให้แก่ตน โดยมีการซื้อขายโดยสุจริต และจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดพังงา เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2555 แต่ปรากฏว่า เมื่อเดินทางไปถึงพื้นที่ก็พบมีกลุ่มบุคคลเข้ามาครอบครองใช้ประโยชน์ ดังนั้น ตนจึงใช้กล้องถ่ายรูปบันทึกไว้เป็นหลักฐาน แต่ก็ถูกชายฉกรรจ์เข้ามาทำร้าย และแย่งกล้องถ่ายรูปไป ทางตนจึงเข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีไว้กับพนักงานสอบสวนที่ สภ.เกาะยาวน้อย ภายหลังจึงทราบว่า ผู้ที่เข้ามาครอบครองที่ดิน คือ นายธิติ ส่งตระกูล จึงมอบหมายให้ทนายความดำเนินคดีฟ้องร้อง นายธิติ กับพวก รวม 5 คน ฐานความผิดร่วมกันบุกรุก ทั้งนี้ 1 ในนั้นเป็นลูกน้องของนายธิติ เคยหลบหนีคดีอาญาในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และมีหมายศาลของจังหวัดตรัง รวมอยู่ด้วย
      
       ต่อมา เมื่อนายธิติ และพวกได้รับหมายศาลจึงเกิดความเกรงกลัว ได้หลบหนีออกจากที่ดินผืนดังกล่าวทันที โดยเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2555 ที่ผ่านมา ทางตน และทนายความจึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบอีกครั้ง ปรากฏว่า พบอาวุธปืนลูกซอง จำนวน 2 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน อีกทั้งอุปกรณ์ในร้านอาหาร เฟอร์นิเจอร์ ข้าวของเครื่องใช้ ยังถูกทำลายเป็นจำนวนมาก จึงแจ้งความลงบันทึกประจำวัน และมอบอาวุธปืนให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นก็ได้มอบหมายให้ลูกน้องของตน ชื่อว่า นายแมว เข้าไปช่วยดูแลพื้นที่แทน อย่างไรก็ตาม จนถึงวันที่ 24 สิงหาคม 2555 ก็ได้มีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งเดินทางมากับเรือ พร้อมบุกเข้ามาในที่ดินของตน และหนึ่งในนั้นได้แสดงบัตรเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และมีการพูดจาข่มขู่ แสดงตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ดังนั้น เมื่อนายแมว เห็นทีท่าว่าไม่ดีจึงรีบแจ้งไปยังฝ่ายปกครองในพื้นที่ เข้ามาร่วมเจรจา และนำเอกสารสิทธิการถือครองมาแสดง สุดท้ายกลุ่มชายฉกรรจ์ที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงเดินทางกลับในที่สุด
      
       น.ส.ญาณกวี กล่าวทั้งน้ำตาว่า ตนได้รับโทรศัพท์ขอนัดคุยที่สถานที่แห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต จากกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ตนและทนายความจึงรับปาก ปรากฏว่า เมื่อมาถึงสถานที่นัดหมายก็พบกลุ่มชายฉกรรจ์ จำนวน 5-6 คน พร้อมกับมีการถามไถ่ว่า ตนเป็นเจ้าของที่ดินพื้นที่แหลมไทร ใช่หรือไม่ ตนจึงตอบว่าใช่ และได้นำเอกสารการซื้อขายโฉนดผืนดังกล่าว แสดงให้แก่กลุ่มชายฉกรรจ์ ซึ่งหนึ่งในนั้นได้มีแนะนำตัวเองว่า ชื่อ เสธ.อักษรย่อ อ. และแสดงบัตรที่แขวนอยู่ที่คอให้ดู อีกทั้งยังมีการหยิบสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ระหว่าง นายบัญญัติ กล้าสมุทร และนางปวีณา สำเภารัตน์ ผู้จะขาย กับ นายธิติ ส่งตระกูล ผู้จะซื้อ ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2554 ให้ตนดู โดยยังได้แนบหนังสือร้องเรียนเรื่องพฤติกรรมของตนต่อดีเอสไอ ภาค 8 ด้วย และบอกต่อว่า หากมีการตรวจสอบการได้มาที่ดินไม่ถูกต้อง จะให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐยกเลิกโฉนดที่ดินฉบับที่ตนถือครองอยู่ ที่สำคัญยังมีการข่มขู่ให้ออกไปจากพื้นที่ แต่ตนได้ปฏิเสธ เนื่องจากมั่นใจในการได้มาของโฉนดที่ดินแปลงนี้ว่ามีความโปร่งใส และถูกต้อง
      
       ขณะเดียวกัน เมื่อตนเห็นว่า เสธ.คนดังกล่าว เป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อดีเอสไอ ภาค 8 ยื่นให้แก่ เสธ.โดยตรง ซึ่งผู้เจรจาก็ปฏิเสธ และบอกว่า สังกัดดีเอสไอ ภาค 9 รับเรื่องไว้ไม่ได้ พร้อมแจ้งให้ทำหนังสือเสนอไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ส่วนกลางแทน ดังนั้น จากนี้ไปก็จะทำหนังสือยื่นเรื่องต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ขอให้ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้ความเป็นธรรมต่อตน เพราะที่ผ่านมา เป็นระยะเวลากว่า 2 ปี ตนไม่สามารถเข้าไปประกอบกิจการบนเนื้อที่ดังกล่าวได้ เนื่องจากถูกกลุ่มผู้มีอิทธิพลคุกคามตลอดเวลา ทั้งๆ ที่โฉนดที่ดิน ตนก็มีการซื้อขายตามกฎหมาย สามารถตรวจสอบได้ แต่อีกฝ่ายกลับเข้ามายึดครองพร้อมอ้างสิทธิเช่นกัน
      
       ด้าน นายฐิติพงศ์ บุนนาค เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 เจ้าของที่ดินได้ประกาศขายที่ดินแปลงดังกล่าวรวมร้านอาหาร จากนั้นวันที่ 17 ตุลาคม 2554 นายธิติ ได้ติดต่อพร้อมทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ระหว่าง นายบัญญัติ กล้าสมุทร และนางปวีณา สำเภารัตน์ ผู้จะขาย กับ นายธิติ ส่งตระกูล ผู้จะซื้อ เอาไว้ในราคาประมาณ 15 ล้านบาท จากนั้นในวันที่ 21 ตุลาคม 2554 หรืออีก 4 วันต่อมา ทั้ง 2 ฝ่าย ได้เดินทางไปที่สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนประจำจังหวัดกระบี่ หรือ ศคช. เพื่อทำสัญญาฉบับใหม่ โดยระบุเอาไว้ว่า จะมีการจ่ายเงินเป็นงวดๆ ซึ่งงวดแรกตรงกับเดือนมกราคม 2555 ทั้งนี้ พอถึงเวลา นายธิติ เองก็ไม่มีการจ่ายเงินตามที่ตกลง จึงถือว่าสัญญาการจะซื้อจะขายในครั้งล่าสุดหมดอายุตามเงื่อนไขระยะเวลา รวมทั้งจากการตรวจสอบในสัญญาฉบับใหม่ก็ไม่ปรากฏถึงขอบเขตระยะเวลาสิ้นสุดการชำระเงิน ซึ่งในทางกฎหมายการทำสัญญาไม่ครบองค์ประกอบแบบนี้ ถือว่าเป็นโมฆะ แต่ทางด้านของ นายธิติ และกลุ่มบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ กลับนำเอกสารสัญญาฉบับนี้มาแสดง ขณะเดียวกัน ทางฝั่งของ น.ส.ญาณกวี ก็ได้เริ่มทำสัญญาจะซื้อจะขายโฉนดที่ดินแปลงนี้ เมื่อเดือนเมษายน 2555 และมีการตรวจสอบที่ไปที่มาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ทุกวันนี้กลับถูกผู้มีอิทธิพลคุกคามจนไม่สามารถทำอะไรในพื้นที่ดังกล่าวได้ในที่สุด


ข้อมูลจาก.. ASTV Manager ภาคใต้

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

จนท.ตรวจป่าบางขนุนภูเก็ต ผงะ!ไม้กฤษณานับร้อยถูกตัด มูลค่านับล้าน



ฝ่ายปกครองสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ถลาง ตรวจสอบการลักลอบตัดไม้กฤษณาเขตสวนป่าบางขนุน จ.ภูเก็ต พบของกลางไม้ท่อนเตรียมขนย้ายจำนวนมาก คาด เนื้อที่กว่า 200 ไร่ ไม้กฤษณาถูกตัดแล้วกว่า 100 ต้น มูลค่านับล้านบาทหากแปรรูป
      
       เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 15 ส.ค.56 นายณัชพล คงเกลี้ยง ปลัดอำเภอถลาง ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีการลักลอบตัดต้นไม้กฤษณาขนาดใหญ่ส่งขายเพื่อทำหัวเชื้อน้ำหอมให้กับต่างประเทศที่บริเวณสวนป่าบางขนุน หมู่ที่ 5 ตำบลเทพกษัตรีย์ อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ พร้อมด้วย นายธารา เครือพานิช ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ตำบลเทพกษัตรีย์ อำเภอถลาง และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง
      
       จากการตรวจสอบพบบริเวณจุดที่พบไม้กฤษณาขนาด 2 คนโอบ อายุเกินกว่า 50 ปี ซึ่งอยู่ห่างจากปากทางเข้าสวนป่าดังกล่าวประมาณ 200 เมตร ได้ถูกมอดไม้โค่นและตัดแบ่งเป็นท่อนๆ จำนวนมาก อีกทั้งยังมีเศษไม้ที่มีลักษณะการบากเป็นชิ้นส่วนขนาดเล็ก วางเรียงรายอยู่ในบริเวณดังกล่าว เพื่อรอการแปรรูปเป็นหัวเชื้อน้ำหอม ขณะเดียวกันจากการเดินสำรวจของทางเจ้าหน้าที่ ระหว่างเส้นทางยังพบต้นกฤษณา อีกจำนวนหลายต้นถูกโค่นและตัดแบ่งในลักษณะเดียวกันอีกเป็นจำนวนมาก คาดว่า พื้นที่ของสวนป่าบางขนุนกว่า 200 ไร่ น่าจะมีมอดไม้ลักลอบเข้ามาตัดเป็นจำนวนกว่า 100 ต้น มีมูลค่านับล้านบาทหากมีการส่งออกและแปรรูป
      
       นายณัชพล คงเกลี้ยง ปลัดอำเภอถลาง เปิดเผยว่า ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่สวนป่าบางขนุน ได้เข้ามาแจ้งว่า พบผู้ลักลอบตัดไม้กฤษณา แอบเข้ามาในช่วงเวลากลางคืน โดยเฉพาะหากเกิดฝนตก เนื่องจากสามารถอำพรางการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ได้ดีกว่าในเวลาปกติ ส่วนกลุ่มที่เข้ามาตัด น่าจะมาจากจังหวัดสุรินทร์หรือศรีษะเกษ มีประมาณ 5 - 6 คน แบ่งเป็นผู้ชาย 4 คน และผู้หญิง 2 คน จะใช้รถยนต์กระบะ ไม่ทราบรุ่นและยี่ห้อ ป้ายทะเบียน 9301 ซึ่งก่อนหน้านี้ชาวบ้านได้พบเจอและได้มีการพูดคุย แต่กลุ่มมอดไม้ก็ไม่ได้เกรงกลัวกฎหมาย ยังแอบเข้ามาทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง จึงต้องประสานไปยังฝ่ายปกครอง ให้ช่วยเข้ามาดูแล มิเช่นนั้นการบุกรุกลักลอบตัดต้นไม้กฤษณา ก็จะถูกกระทำอย่างไม่สิ้นสุด
      
       ต่อมาเมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองพบการลักลอบตัดไม้กฤษณา จึงแจ้งประสานไปยังสถานีตำรวจภูธรถลาง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำโดย พ.ต.ท.อำนวย ไกรวุฒิอนันท์ รอง ผกก.สภ.ถลาง ร.ต.ท.สุชาติ รือชา รองสารวัตรปราบปราม สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต ด.ต.วินิจ จันทอง และเจ้าหน้าที่ตำรวจบางส่วน จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุ โดยเบื้องต้นยังไม่พบกลุ่มผู้ลักลอบตัดต้นไม้กฤษณา พบเพียงตอไม้กฤษณาที่ถูกโค่นจำนวนมาก ซึ่งคาดว่า มีไม้กฤษณาที่มีการแปรรูปถูกลักลอบขนย้ายออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติออกไปก่อนหน้าที่เจ้าหน้าที่จะเข้ามาตรวจสอบ จึงตรวจยึดไม้กฤษณาทั้งหมด และจะประสานไปยังเจ้าหน้าที่ป่าไม้ จ.ภูเก็ต ให้เข้าตรวจสอบอีกครั้ง
      
       ทั้งนี้ภายหลังจากการสนธิกำลังระหว่างฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบการตัดไม้กฤษณา ทางด้านของ พ.ต.ท.อำนวย ไกรวุฒิอนันท์ รอง ผกก.สภ.ถลาง จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่เดินทางเข้าพบ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ซึ่งมีที่ทำการตั้งอยู่ติดกับสวนป่าบางขนุน ห่างจากจุดเกิดเหตุระยะทางประมาณ 200 เมตร เพื่อสอบถามที่สาเหตุการที่มีผู้ลักลอบตัดไม้ในเขตป่า แต่เมื่อไปถึงกลับไม่พบเจ้าหน้าที่ป่าไม่ มีเพียงลูกจ้างของศูนย์เพาะชำเท่านั้น โดยเจ้าหน้าที่พยายามติดต่อไปยังหัวหน้าสวนป่าบางขนุน แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ดังนั้นตำรวจและฝ่ายปกครองจึงเดินทางกลับในที่สุด
      
       ด้าน พ.ต.ท.อำนวย ไกรวุฒิอนันท์ รอง ผกก.สภ.ถลาง กล่าวว่า จากนี้ไปคงต้องทำหนังสือส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ภูเก็ต เข้ามาดำเนินการต่อไป เพราะมีอำนาจรับผิดชอบโดยตรง โดยจะประสานเรื่องการลักลอบตัดต้นกฤษณาที่เกิดขึ้น แจ้งให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้รับทราบ ซึ่งทางฝ่ายปกครองอำเภอถลาง และตำรวจ ตรวจสอบแล้วพบว่า มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะมีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าตรวจสอบทางเข้าออก ของสวนป่าบางขนุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการป้องกันผู้ลักลอบตัดไม้ จะแอบเข้ามาดำเนินการต่อ หากพบว่ามีกลุ่มใดต้องสงสัย ที่ไม่ใช่ชาวบ้านในพื้นที่ ก็จะดำเนินการประสานไปยังเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เข้าตรวจสอบ พร้อมจับกุมผู้กระทำความผิด ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ข้อมูลจาก.. ASTV Manager ภาคใต้

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ล้างบางมาเฟียภูเก็ต “แท็กซี่ป้ายดำ”



จ.ภูเก็ต แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ที่สร้างเงินสร้างรายได้จำนวนมหาศาล เข้าสู่ประเทศและผู้ที่ทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องมากมาย ทำให้ผู้คนทั้งที่เป็นคนท้องถิ่นและชาวต่างชาติ เข้ามาทำธุรกิจกอบโกยรายได้จำนวนมาก และมีการตั้งกลุ่มก้อนผูกขาดหาผลประโยชน์แตกต่างกันไป โดยบางรายก็หากินแบบเงียบๆบางรายสร้างปัญหา จนมีการร้องเรียนเจ้าหน้าที่ ซึ่ง แท็กซี่ป้ายดำก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่โดนนักท่องเที่ยวร้องเรียนด้วย
      
       รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา สมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ควงแขน ธาริต เพ็งดิษฐ์อธิบดีกรมสวบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ลงพื้นที่ภูเก็ต เมื่อวันที่ 25 ก.ค.2556 พร้อมกับประกาศกร้าว ล้างบางแบบถอนรากถอนโคนกลุ่มรถแท็กซี่ป้ายดำ หรือ แท็กซี่เถื่อน ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ที่ทำตัวเป็นมาเฟีย ข่มขู่ ทำร้ายนักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้ใช้บริการรถแท็กซี่ป้ายดำของตัวเอง ที่อยู่ตามหน้าโรงแรมและชายหาดต่างๆ บนเกาะภูเก็ต
      
       ดีเอสไองัดกฎหมาย 3 ฉบับถอนรากถอนโคน
      
       กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และดีเอสไอขอเวลา 15 วันหลังจากวันที่ 25 ก.ค.เตรียมความพร้อมเปิด ศูนย์ปฏิบัติการร่วมเพื่อป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่เป็นภัยต่อการท่องเที่ยวหรือ ศอ.ปท.ที่สนามบินภูเก็ต เพื่อให้เป็นศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ต่างๆ จากนักท่องเที่ยวที่ได้รับความเดือดร้อนจากแท็กซี่ป้ายดำ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยศูนย์ดังกล่าวจะประสานความร่วมมือในการทำงานแก้ปัญหาของ 4 หน่วยงานหลัก คือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมสอบสวนคดีพิเศษ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายรวมถึงตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตและตำรวจท่องเที่ยวที่รู้จักพื้นที่เป็นอย่างดี ทำงานแก้ปัญหาร่วมกัน
      
       ทั้งนี้ ใช้กฎหมาย 3 ฉบับในการล้างบางแท็กซี่ป้ายดำแบบถอนรากถอนโคน ประกอบด้วย กฎหมายอาญาที่เกี่ยวกับการกรรโชกทรัพย์ กฎหมายอาญาที่เกี่ยวกับอั้งยี่ซ่องโจร และกฎหมายฟอกเงิน เพื่อดำเนินการขั้นเด็ดขาดและจัดเต็มกับกลุ่มแท็กซี่ป้ายดำที่ทำตัวเป็นมาเฟีย เพราะถ้าใช่เฉพาะกฎหมายอาญาเพียงอย่างเดียว เมื่อถึงขั้นศาลอาจจะตัดสินให้รอลงอาญาเพราะทำผิดเป็นครั้งแรกหรือติดคุกไม่กี่เดือน ซึ่งจะทำให้มาเฟียกลุ่มนี้ไม่เกรงกลัวกฎหมาย จึงต้องนำกฎหมายฟอกเงินมายึดทรัพย์สิน ที่เป็นรถยนต์ที่ใช้ในการรับส่งนักท่องเที่ยวและบัญชีเงินฝากไปตรวจสอบ
      
       ข่มขู่นักท่องเที่ยวตั้งแต่สนามบิน-หน้าโรงแรม
      
       ทำไม ดีเอสไอต้องจัดหนักจัดเต็มกับแท็กซี่ป้ายดำในภูเก็ต ด้วยการงัดกฎหมายทุกฉบับที่คิดว่าจะสามารถถอนรากถอนโคนผู้ประกอบการกลุ่มนี้ คำตอบเป็นที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว ว่า แท็กซี่ป้ายดำกลุ่มนี้ ทำตัวเป็นมาเฟีย เป็นผู้มีอิทธิพลมายาวนาน สร้างความเดือดร้อนให้กับนักท่องเที่ยว และทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของภูเก็ต
      
       ตั้งแต่ก้าวแรกที่่นักท่องเที่ยวเหยียบผืนแผ่นดินภูเก็ต มาเฟียกลุ่มนี้ก็เริ่มปฏิบัติการทันที่ ที่สนามบินภูเก็ต ด้วยการข่มขู่ ฉุดกระชากลากถู อุ้ม ทำทุกวิถีทาง ถึงขั้นใช้อาวุธบังคับนักท่องเที่ยวให้ใช้บริการรถของตัวเอง เรียกเก็บค่าโดยสารที่แพงมหาโหด ทำให้นักท่องเที่ยวเกิดภาวะจำยอมต้องโดยสารรถแท็กซี่ป้ายดำดังกล่าว
      
       ไม่หยุดแค่สนามบินเท่านั้น แท็กซี่ป้ายดำยังกระจายอยู่ตามชายหาด หน้าโรงแรม ทั่วทั้งเกาะภูเก็ต ที่มีนักท่องเที่ยว เมื่อมีโรงแรมเปิดใหม่กลุ่มแท็กซี่ป้ายดำก็จะเข้าไปจับจองพื้นที่ทางเข้าโรงแรมตั้งซุ้มไม้ไผ่จัดตั้งเป็นคิวให้บริการเกือบทุกโรงแรมที่เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ คอยให้บริการนักท่องเที่ยว ห้ามรถจากที่อื่นเข้ามารับนักท่องเที่ยวโดยเด็ดขาด แม้แต่โรงแรมหากนำรถจากที่อื่นมาบริการนักท่องเที่ยวก็ไม่ได้ ถ้าจะให้บริการจะต้องเป็นรถของโรงแรมเท่านั้น มิฉะนั้นกลุ่มแท็กซี่ป้ายดำจะรวมตัวกันปิดทางเข้าโรงแรมทันที
      
       นอกจากนี้ หากนักท่องเที่ยวฝ่าฝืนกฎที่กลุ่มแท็กซี่ป้ายดำกำหนดขึ้นมาด้วยการใช้บริการรถของที่อื่น จะต้องถูกกระชากลากถูลงจากรถ หรือไม่ก็เข้าทำร้ายร่างกายนักท่องเที่ยว คนขับรถ บางคันทิ้งนักท่องเที่ยวกลางทาง ลวนลามนักท่องเที่ยว และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นและเป็นเรื่องที่น่าละอายที่สังคมยอมรับไม่ได้ คือการกีดกันไม่ให้รถพยาบาลฉุกเฉินเข้าไปรับผู้ป่วยในโรงแรม นักท่องเที่ยวจะป่วยหรือปกติถ้าจะออกจากโรงแรมต้องใช้รถแท็กซี่ป้ายดำหน้าโรงแรมเท่านั้น
      
       เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในพื้นที่ต่างๆ ของภูเก็ต เอเยนต์ทัวร์ในต่างประเทศ สถานทูต สถานกงสุล นักท่องเที่ยว ร้องเรียนแล้วร้องเรียนอีกไปยังหน่วยงานในพื้นที่ภูเก็ต และระดับกระทรวงในส่วนกลางทั้งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ ททท. ปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไข กลุ่มแท็กซี่ป้ายดำยังคงเหิมเกริมใช้อิทธิพลข่มขู่นักท่องเที่ยว โรงแรม หน่วยงานภาครัฐ โดยอ้างว่าเป็นคนท้องถิ่นต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องหน่วยงานในระดับจังหวัดจนปัญญาที่จะสะสางเรื่องนี้ให้หมดไปได้ แม้จะพยายามให้ผู้ประกอบการกลุ่มนี้เข้าระบบเพื่อให้ง่ายต่อการควบคุม แต่ก็มีทั้งที่ยอมเข้าระบบและไม่ยอมเข้าระบบ ที่เข้าระบบแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดปัญหาขึ้นอีก เพราะเมื่อเร็วๆนี้ ที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่กะรนก็มีการปิดกั้นรถของบริษัททัวร์ไม่ให้เข้าไปรับนักท่องเที่ยวอีก
      
       15 แก๊ง นักการเมืองท้องถิ่นหนุน
      
       ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ออกมาระบุว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลแท็กซี่ป้ายดำในภูเก็ต พบว่ามีมาเฟียแท็กซี่ป้ายดำกระจายอยู่ในพื้นที่ภูเก็ตทั้งหมด 15 แก๊ง โดยกระจายอยู่ตามชายหาด หน้าโรงแรม ทั้งกะรน กะตะ ป่าตอง กมลา เชิงทะเล บางเทา ในทอน สนามบินภูเก็ต ในตัวเมืองภูเก็ต และยังระบุอีกว่ามีตัวการใหญ่ที่เป็นมาเฟียแท็กซี่ป้ายดำอยู่ 2 คน แต่ไม่สามารถที่จะเปิดเผยรายชื่อได้จะมีการสอบสวนในทางลับ
      
       ขณะที่จากการสำรวจของสำนักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ต ในช่วงของการดำเนินการตามนโยบายจังหวัดภูเก็ตที่ต้องการเอารถแท็กซี่ป้ายดำเข้าสู่ระบบ เพื่อแก้ปัญหาการข่มขู่ ทำร้ายร่างกายนักท่องเที่ยว และคิดค่าโดยสารที่แพงเกินความเป็นจริง
      
       ในช่วงปลายปี 2554 ถึงปี 2555 พบว่าในภูเก็ตมีรถแท็กซี่ป้ายดำทั้งหมด 3,554 คัน ขึ้นทะเบียนเป็นรถรับจ้างถูกต้องตามกฎหมาย 2,882 คัน และจดทะเบียนเป็นรถรับจ้าง (รถป้ายเขียว) แล้ว ตั้งแต่ปลายปี 2555 ถึงปัจจุบัน 1,133 คัน คิดเป็น 39% เหลืออีก 60% ที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นรถรับจ้างจากปัญหาติดจำนองกับสถาบันการเงิน
      
       จากนโยบายดังกล่าว มีการกำหนดหมายเลขรถ หมายเลขคิวรถไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถสืบหาตัวผู้กระทำผิดได้ง่ายหากแท็กซี่ป้ายดำเหล่านั้นกระทำผิด และกำหนดราคาค่าโดยสารที่ชัดเจนให้นักท่องเที่ยวได้รับทราบ แม้ว่าราคาค่าโดยสารจะสูงมากๆ ก็ตาม
      
       ทั้งนี้เพราะรถรับจ้างในภูเก็ตสามารถรับส่งนักท่องเที่ยวได้เพียงขาเดียวเท่านั้น มาส่งนักท่องเที่ยวแล้วไม่สามารถที่จะรับนักท่องเที่ยวในพื้นที่ที่ไม่ใช่คิวของตัวเองได้อย่างเด็ดขาด เพราะแต่ละพื้นที่มีเจ้าถิ่นคุมอยู่ทั้งหมดแล้ว
      
       คิวแท็กซี่ป้ายดำในภูเก็ตกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ในเขตอำเภอเมืองภูเก็ตมีอยู่ประมาณ 30 - 40 คิว เป็นคิวเล็กๆ บางคิวมีรถอยู่ 2 - 3 คัน ไปจนถึง 5 - 6 คัน มีมากที่สุดในพื้นที่หาดกะตะ กะรน 10 กว่าคิว กระจายอยู่ตามหน้าโรงแรมใหญ่และชายหาด ที่กะรนจะใช้เป็นกลุ่มรถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊กว่ากลุ่ม “KT” ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้ประกอบการรถรับจ้างทุกประเภทในพื้นที่กะตะ กะรน
      
       ส่วนที่หาดป่าตองมีประมาณ 100 คิว เป็นคิวเล็กๆ บางคิวมีรถแค่ 1 - 2 คัน บางคิว 3 - 5 คัน แต่จะไม่เกิน 10 คัน จากข้อจำกัดเรื่องพื้นที่จอดรถ กระจายอยู่ตามหน้าโรงแรม หน้าหาด ตามตรอกซอกซอย
      
       คิวใหญ่ที่สุดอยู่หน้าศูนย์การค้าจังซีลอน เรียกว่า คิวหน้าจังซีลอน ของนักธุรกิจท้องถิ่นป่าตอง และในพื้นที่ถลางมีจำนวนคิวไม่มากนัก แต่เป็นคิวขนาดใหญ่ มีรถในสังกัดคิวละ 20 - 40 คัน หน้าโรงแรมในเครือลากูน่ามีอยู่ทุกโรงแรม บางโรงแรมมีมากกว่าหนึ่งคิวด้วยซ้ำ และที่เป็นข่าวโด่งดังมีการฉุดกระชากนักท่องเที่ยวลงจากรถของสถานประกอบการโชว์ที่มีชื่อเสียงของภูเก็ตมาแล้วที่หาดในทอน ที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นคนดูแลคิว
      
       ที่สนามบินภูเก็ตก็เช่นกัน นอกจากปัญหาการข่มขู่นักท่องเที่ยว แล้วยังมีปัญหากลุ่มแท็กซี่ป้ายดำที่เข้าไปทำมาหากินในสนามบิน กับกลุ่มรถลีมูซีน ที่ได้รับสัมปทานจากท่าอากาศยานฯอยู่เนืองเช่นกัน
      
       แหล่งข่าวจากวงการทัวร์ในพื้นที่กะรนรายหนึ่งระบุว่า การที่แท็กซี่ป้ายดำทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลไม่เกรงกลัวอำนาจรัฐ เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง จังหวัด ตำรวจ ท้องถิ่น ขนส่ง ไม่เอาจริงเอาจังในการบังคับใช้กฎหมายขั้นเด็ดขาดกับกลุ่มนี้ ที่รวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นเป็นกลุ่มก้อนใหญ่มีอำนาจต่อรองกับภาครัฐ รวมถึงมีนักการเมืองท้องถิ่นหนุนหลัง ไม่กล้าเข้าไปจัดการอะไร เพราะกลัวเสียฐานเสียงในการเลือกตั้ง
      
       “อย่างที่กะรนบนถนนปฎัก ตั้งแต่หน้าโรงแรมฮิลตันตลอดสายไปจนถึงวงเวียนกะรน เลียบถนนชายหาดไปหาดกะตะและไปจนถึงโรงแรมเซ็นทาร่า จะมีคิวแท็กซี่ป้ายดำตั้งอยู่หน้าโรงแรมใหญ่ๆ ทุกโรงแรม มีตั้งแต่คิวละ 2 - 3 คัน ไปจนถึงคิวละ 5 - 6 คัน โดยจะมีการขึ้นป้ายคิวรถแท็กซี่ ตุ๊กตุ๊ก “KT” ซึ่งเป็นคิวของชมรมรถแท็กซี่และตุ๊กตุ๊กหาดกะตะ กะรน โดยก่อนหน้านี้มี สจ.คนหนึ่งเป็นประธานกลุ่ม แต่ขณะนี้ได้เปลี่ยนเป็นนาย ต.ไปแล้ว” แหล่งข่าวกล่าวและว่า
      
       ตั้งแต่วงเวียนกะรนไปจนตลอดหาดกะรนรถจากข้างนอกไม่มีสิทธิ์เข้ามารับนักท่องเที่ยวเลย นักท่องเที่ยวจะต้องใช้บริการรถแท็กซี่ป้ายดำในพื้นที่เท่านั้น อย่างกรณีที่เคาน์เตอร์ทัวร์ต่างๆ ขายทัวร์นักท่องเที่ยวไปดูมวย ดูโชว์ ซึ่งในราคาทัวร์จะรวมค่ารถไว้ด้วย รถตู้ของสนามมวยหรือร้านโชว์มารับนักท่องเที่ยวไม่ได้ กลุ่มแท็กซี่ป้ายดำจะดึงคนขับลงจากรถไม่ได้ขับออกไป
      
       ขณะที่ถ้าขายทัวร์ไปแล้วให้รถตู้จากข้างนอกมารับนักท่องเที่ยวในกะรนบริเวณนี้ สนามมวย ร้านโชว์ จะไม่เข้ามารับ หากนักท่องเที่ยวต้องการจะไปต้องหารถไปเอง เพราะเกรงกลัวอิทธิพลของแท็กซี่ป้ายดำมาก ซึ่งก็เหมือนกันทุกพื้นที่ในภูเก็ต ที่กลุ่มแท็กซี่ป้ายดำหรือตุ๊กตุ๊ก กระทำกับนักท่องเที่ยวโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย เพราะมีอำนาจมีนักการเมืองท้องถิ่นอยู่ข้างหลัง ไม่กล้าที่จะจัดการอะไร เพราะเกรงว่าจะเสียฐานเสียง หรือไม่บางคิวเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นคนคุมเสียเอง
      
       แท็กซี่ป้ายดำที่ดีๆ ก็มีที่ให้บริการนักท่องเที่ยวด้วยความประทับใจ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อการท่องเที่ยวของภูเก็ต เช่น นักท่องเที่ยวลืมเงินและของมีค่าไว้ในรถก็นำไปส่งคืน แต่ภาพที่เป็นข่าวออกไปนั้น ล้วนแต่เป็นภาพในเชิงลบ ทำให้แท็กซี่ป้ายดำเสียหายทั้งหมด เหมือนคำสุภาษิตที่ว่า ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง
      
       ดีเอสไอ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะแก้ปัญหาแท็กซี่ป้ายดำทำตัวเป็นมาเฟียในภูเก็ตได้เหมือนกับท่าที่ที่ได้ประกาศกร้าวไว้ในเวลานี้ได้มากน้อยแค่ไหน คนทั้งประเทศกำลังรอดูอยู่ เพราะแท็กซี่ป้ายดำทำตัวเป็นมาเฟียเป็นปัญหาเรื้อรังที่ฝังรากลึกอยู่คู่กับการท่องเที่ยวของภูเก็ตมายาวนาน


ข้อมูลจาก.. ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เกิดระเบิดด้านข้างสำนักงาน อบจ.ภูเก็ต รถยนต์เสียหาย 5 คัน โชคดีไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ



เกิดระเบิดด้านข้างสำนักงาน อบจ.ภูเก็ต ที่ตั้งอยู่ภายในศาลากลางจังหวัด คนร้ายนำมาซุกไว้ในถังขยะที่ตั้งอยู่ด้านข้างสำนักงาน เสียงดังสนั่นสร้างความตื่นตกใจให้กับข้าราชการ และรถยนต์เสียหาย 5 คัน โชคดีไม่ผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต รองผู้ว่าฯ ตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบหาสาเหตุ
      
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น.วันที่ 1 ส.ค.56 ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้น ที่บริเวณโรงซึ่งอยู่ติดรั้วอาคารสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต (อบจ.) ซึ่งอยู่ภายในศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ถ.นริศร ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต โดยระเบิดดังกล่าวได้ถูกซุกซ่อนไว้ในถังขยะสีฟ้า ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าสำนักงาน อบจ.ภูเก็ต ห่างจากรถตู้ประมาณ 2 - 3 เมตร โดยบริเวณดังกล่าวเป็นที่จอดรถของฝ่ายบริหารอบจ.ภูเก็ต และโชคดีไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เนื่องจากในเวลาดังกล่าวข้าราชการได้เข้าไปทำงานภายในอาคารสำนักงานทั้งหมดแล้ว
      
       จากแรงระเบิดดังกล่าว ทำให้ถึงขยะแตกละเอียด มีรถที่จอดใกล้ที่เกิดเหตุได้รับความเสียหายจำนวน 5 คัน ในจำนวนนั้นได้รับความเสียหายมากจำนวน 5 คัน คือ รถตู้โตโยต้า สีขาว หมายเลขทะเบียน นข.3383 ภูเก็ต ด้านหน้ายับ กระจกแจก รถยนต์ซูซูกิ สวีป สีดำ หมายเลขทะเบียน กย.2719 ภูเก็ต ซึ่งจอดจ่อท้ายรถตู้กระจกแตกเช่นกัน ขณะที่รถยนต์โตโยต้า อัลติส สีบอร์นเงิน หมายเลขทะเบียน กจ.2345 ภูเก็ต ยางล้อหน้าแตก และภายในบริเวณดังกล่าวพบว่ามีเศษนาฬิกา ถ่านไฟฉาย และเศษระเบิดกระจายอยู่ในที่เกิดเหตุ
      
       เหตุระเบิดดังกล่าวได้สร้างความตื่นตกใจให้กับข้าราชการที่ทำงานอยู่ภายในอาคารสำนักงาน อบจ.ภูเก็ต และภายในศาลากลางจังหวัดภูเก็ต และได้เข้ามุงดูเหตุการณ์ดังกล่าว โดยข้าราชการรายหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ขณะที่นั่งทำงานอยู่ภายในศาลากลางได้ยินเสียงระเบิดขึ้น 1 ครั้ง หลังจากนั้นก็มีควันฟุ้งออกมาในบริเวณนั้น ทำให้ตนและข้าราชการคนอื่นๆ ตื่นตกใจ ต่างพากันเข้าไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
      
       อย่างไรก็ตาม ภายหลังเกิดระเบิด นายชวลิต ณ.นคร รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต และข้าราชการอบจ.ภูเก็ตได้ออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นนางสาวสมหมาย ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พ.ต.อ.พีระยุทธ์ การะเจดีย์ พ.ต.อ.วิทูรย์ กองสุดใจ พ.ต.อ.เสน่ห์ ยาวิละ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พ.ต.อ.เสริมพันธ์ ศิริคง ผู้กำกับการ สภ.เมืองภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนเมืองภูเก็ต ฝ่ายปกครองจังหวัดภูเก็ต เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ เบื้องต้นทราบว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่องขนาดเล็ก และคนร้ายหมายข่มขู่


ข้อมูลจาก.. ASTV Manager ภาคใต้

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

พบ 64 บริษัทต่างชาติในภูเก็ตเข้าข่ายนอมินี เอกชนหนุน DSI ฟันมาเฟีย



พบบริษัทต่างชาติเข้าข่ายใช้คนไทยเป็นนอมินีในภูเก็ตแล้ว 64 ราย ใช้สำนักงานบัญชีและกฎหมายเป็นที่ตั้ง แถมพนักงานเป็นกรรมการอีกต่างหาก ขณะที่เกาหลี และรัสเซียทำธุรกิจท่องเที่ยวครบวงจรรายได้ตกแก่คนไทยน้อยมาก ด้านเอกชนตอบรับดีเอสไอตรวจสอบธุรกิจต่างชาติ จะได้สกรีนไม่ดีทำตัวเป็นมาเฟียออกไป พร้อมวอนภาครัฐบังคับใช้กฎหมายเคร่งครัด
      
       ปัญหาต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจ และทำตัวเป็นมาเฟียในภูเก็ต กลับมาเป็นข่าวโด่งดังอีกครั้ง เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา นายสมศักดิ์ ภูรีศรีศักดิ์ พร้อมด้วย นายสุวัตร สิทธิหล่อ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้ายื่นหนังสือต่อ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีต่อกลุ่มมาเฟียต่างชาติใน จ.ภูเก็ต หลังเข้ามาตั้งบริษัทนอมินีประกอบธุรกิจทัวร์ท่องเที่ยวโดยกีดกันคุกคามคนไทยไม่ให้บริการนักท่องเที่ยวต่างชาติ
      
       โดยการร้องทุกข์กล่าวโทษในครั้งนี้ ได้พุ่งเป้าไปที่คนต่างชาติสัญชาติเกาหลี และรัสเซีย ที่เข้ามาทำตัวเป็นมาเฟีย และประกอบธุรกิจคุกคามไปตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วทั้งเกาะภูเก็ต เช่น หาดป่าตอง หาดกะตะ กะรน หาดบางเทา โดยกลุ่มชาวต่างชาติเหล่านี้จะเข้ามาทำธุรกิจท่องเที่ยวแบบครบวงจร ตั้งแต่รถรับส่งนักท่องเที่ยว ร้านอาหาร สปา ร้านนวด ร้านจำหน่ายของที่ระลึก เคาน์เตอร์ทัวร์ แม้แต่ร้านซักรีดก็ยังเปิดให้บริการ จะใช้บริการของคนไทยเพียงโรงแรมเท่านั้น รายได้ที่เกิดจากนักท่องเที่ยวทั้งกลุ่มรัสเซีย และเกาหลีแทบที่จะไม่ได้ตกถึงคนไทยท้องถิ่นภูเก็ต และกิจการที่เป็นของคนไทยเลย
      
       ยิ่งไปกว่านั้น ในส่วนของกลุ่มรัสเซีย ยังได้มีปัญหากับผู้ประกอบการท้องถิ่นภูเก็ตในหลายพื้นที่ด้วยกัน เช่น ที่หาดกะรน และหาดเบาเทา ที่มีการเปิดเคาน์เตอร์ทัวร์ขายแข่ง และตัดราคากับผู้ประกอบการท้องถิ่น สั่งห้ามนักท่องเที่ยวรัสเซียใช้บริการรถแท็กซี่ของคนท้องถิ่น จนมีการประท้วง และร้องเรียนมายังจังหวัดภูเก็ตไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่ปัญหาดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขที่เป็นรูปธรรม
      
       จากการสอบถามไปยัง นายนิมิตร ฆังคะจิตร หัวหน้าสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัดภูเก็ต พบว่า ขณะนี้มีการมาขอจดทะเบียนจัดนตั้งห้างหุ้นส่วน และบริษัทเดือนละ 150 ราย และตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-9 ก.ค. มีการขอจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วน จำนวน 150 ราย และขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท จำนวน 800 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันประมาณ 4% ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องของการค้าส่ง ค้าปลีก ให้บริการ ต่อเนื่องการท่องเที่ยว และอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม สำหรับยอดขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท และห้างหุ้นส่วนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตอยู่ที่ 18,000 ราย แต่ที่ยังเปิดดำเนินการอยู่จริงๆ อยู่ประมาณ 15,000 ราย
      
       จากการตรวจสอบบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท และห้างหุ้นส่วนที่มีชาวต่างชาติถือหุ้นพบว่า ในส่วนของรัสเซีย มีการขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท จำนวน 171 บริษัท อันดับ 1 เป็นธุรกิจเกี่ยวกับเช่า ขาย ซื้อ อสังหาริมทรัพย์ รองลงมาเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและร้านอาหาร ขณะที่ในส่วนของบริษัทที่มีชาวเกาหลีถือหุ้นพบว่า มีการขอจดทะเบียนบริษัท จำนวน 171 ราย ประกอบธุรกิจด้านการท่องเที่ยว 47 ราย ร้านอาหาร 17 ราย อสังหาริมทรัพย์ 12 ราย ที่เหลือกระจายไปตามธุรกิจอื่นๆ
      
       ส่วนปัญหานอมินีนั้น ต้องดูที่การกระทำ ทั้งเรื่องเอกสารการเงิน เส้นทางการเงินมาประกอบ ซึ่งเรื่องนี้จะต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีอำนาจเข้ามาตรวจสอบ ที่ผ่านมา ทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ส่งคณะทำงานป้องปรามการช่วยเหลือการประกอบธุรกิจคนต่างด้าวโดยหลีกเลี่ยงกฎหมาย ลงมาตรวจสอบบริษัทที่มีคนต่างชาติถือหุ้นที่เข้าข่ายต้องสงสัย 82 แห่ง พบ 64 บริษัทที่จะต้องมีการตรวจสอบในเชิงลึกว่า เข้าข่ายการเป็นนอมินีหรือไม่ โดยบริษัทเหล่านี้ใช้ที่ตั้งของสำนักงานบัญชีและกฎหมายเป็นที่ตั้งสำนักงาน และใช้พนักงานเป็นกรรมการซ้ำๆ และ 11 บริษัท ไม่สามารถที่จะติดต่อได้ ซึ่งทางสำนักงานฯ ได้ลงไปตรวจสอบในพื้นที่แล้ว พบว่า บางแห่งมีการเช่า และได้ย้ายออกไป เป็นต้น
      
       ขณะที่นายภูริต มาศวงศ์ศา อุปนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ผู้ประกอบการเห็นด้วยที่ทางดีเอสไอจะเข้ามาคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่บุคคลต่างด้าวกระทำผิดกฎหมายไทยในลักษณะต่างๆ โดยจะต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
      
       “อยากจะให้ดีเอสไอ หรือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้ามาดำเนินการอย่างจริงจัง มีการบังคับใช้ตามกฎหมายทุกช่องทางที่มีอยู่อย่างเต็มที่ เพราะผู้ประกอบการท่องเที่ยวมองว่า เป็นสิ่งที่ดี ควรจะมีการคัดกรองกลุ่มนักธุรกิจที่ดี เหมาะสมให้คงอยู่ต่อไปในพื้นที่ภูเก็ต การเคลียร์ปัญหาที่บุคคลทั่วไปมองว่าเป็นการตั้งตนเป็นผู้มีอิทธิพล จ่ายผลประโยชน์เบี้ยบ้ายรายทางให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่บางหน่วยงาน ควรให้ภาพลักษณ์นี้หมดไปจากเกาะภูเก็ตได้แล้วนายภูริต กล่าวในที่สุด
      
       อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 19 ก.ค.56 นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อรวบรวมข้อมูลทั้งหมดหารือร่วมกับทางดีเอสไอที่จะลงพื้นที่ภูเก็ตในวันที่ 25 ก.ค.นี้ 


ข้อมูลจาก.. ASTV Manager ภาคใต้

วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ตร.ท่องเที่ยวร่วม ตร.กะทู้ ยึดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ในพื้นที่ป่าตอง



ตำรวจท่องเที่ยวภูเก็ต ร่วมตำรวจภูธรกะทู้ นำกำลังพร้อมหมายศาลเข้าตรวจค้นโกดังเก็บสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ในพื้นที่ป่าตอง ยึดของกลางกว่า 5 ล้านบาท

วันที่ 18 ก.ค.56 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสถานีตำรวจท่องเที่ยว 3 กองกำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต นำโดย พ.ต.ท.บัณฑิต ขาวสุธรรม รองผู้กำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว พ.ต.ท.นิคม เทียนห้าว สว.สส.กก.5 บก.ทท.ภูเก็ต พ.ต.ท.อกนิษฐ์ ด่านพิทักษ์ศาสตร์ รองผู้กำกับการตำรวจภูธรกะทู้ พ.ต.ท.นิกร ชูทอง สารวัตรปราบปราม สภ.กะทู้ พร้อมด้วยเจ้าหน้าตำรวจชุดสืบสวน กก.5 บก.ทท.ภูเก็ต ตำรวจภูธรกะทู้
      
       นำหมายศาลจังหวัดภูเก็ต ที่ 156/2556 ลงวันที่ 18 ก.ค.56 เข้าตรวจสอบอาคารพาณิชย์เลขที่ 162/105 หมู่บ้านสุขเจริญ ซอยสุขเจริญ ถ.ผังเมืองสาย ก. ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต หลังสืบทราบว่า ที่อาคารดังกล่าวมีสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้าซุกซ่อนอยู่จำนวนมาก จากการเข้าเข้าตรวจสอบ พบ นายอนุชิต บุ่ยทวีทรัพย์ อายุ 43 ปี แสดงตัวเป็นเจ้าของบ้าน จากการตรวจสอบภายในบ้านหลังดังกล่าวพบสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์หลายรายการ ประกอบด้วย หมวกแก๊ปยี่ห้อบิลลาบอง นิวอีร่า แว่นตาเรย์แบน-โอคเลย์ และรองเท้ายี่ห้อฮาเลย์เดวิดสัน กว่า 2,500 ชิ้น มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท ซึ่งสินค้าทั้งหมดได้วางอยู่บนชั้นวางของภายในบ้านหลังดังกล่าว
      
       จากการสอบถาม นายอนุชิต บุ่ยทวีทรัพย์ กล่าวว่า สินค้าดังกล่าวได้สั่งซื้อมาจากพื้นที่ประตูน้ำ และสำเพ็ง กรุงเทพมหานคร โดยได้ซื้อสินค้าประเภทหมวกแก๊ปในราคาใบละ 100 บาท แล้วนำมาจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในราคาใบละ 120-130 บาท ส่วนรองเท้าซื้อมาในราคาคู่ละ 50 บาท แล้วมาจำหน่ายให้ลูกค้าในราคาคู่ละ 75 บาท แว่นตาซื้อมาในราคา 60 บาท จำหน่ายให้ลูกค้าราคา 70 บาท
      
       โดยสินค้าทั้งหมดได้รอเตรียมส่งขายให้แก่ลูกค้าตามร้านค้าต่างๆ ในพื้นที่ป่าตอง ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้แจ้งข้อกล่าวหามีสินค้าเลียนแบบเครื่องหมายการค้าไว้ในครอบครองไม่ได้รับอนุญาต พร้อมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.กะทู้ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ข้อมูลจาก.. ASTV Manager ภาคใต้

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ภูเก็ตอ่วม! มาเฟีย-นอมินีชาวต่างชาติแฝงตัวแย่งอาชีพคนไทย



วอนรัฐเร่งแก้ปัญหาหลังชาวต่างชาติตั้งแก๊งมาเฟียและแฝงเป็นนอมินี เข้ามาประกอบอาชีพให้บริการตามแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต ด้าน นอภ.กะทู้ เผย สามารถปราบปรามผู้กระทำความผิดได้เบื้องต้น แต่หากแก้ระยะยาวต้องให้ทุกหน่วยงานร่วมกัน


       
       วันที่ 17 ก.ค.56 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่สอบถามประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว สำคัญต่าง ๆใน จ.ภูเก็ต พบว่า ปัญหาชาวต่างชาติแฝงตัวเข้ามาในคราบของนักท่องเที่ยว ตั้งตนเป็นมาเฟีย ประกอบธุรกิจลุกลามไปทุกพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณชายหาดสำคัญ เช่น พื้นที่หาดป่าตองและหาดกะรน จะเห็นได้ว่ามีร้านอาหาร สปา หรือแม้กระทั่งรถแท็กซี่รับส่งนักท่องเที่ยวอยู่มากมาย โดยชาวต่างชาติเหล่านี้จะทำงานกันเป็นขบวนการ ตั้งแต่นักท่องเที่ยวลงเครื่องบินที่สนามบินจะมีรถไปรับมาส่งที่โรงแรม ที่เป็นของชาวต่างชาติที่มีคนไทยเป็นนอมินี รวมถึงร้านอาหารสปา บริษัททัวร์ ร้านซักรีด ฯลฯ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาได้มีการร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม
       

       
แหล่งข่าวยังรายงานว่า แก๊งมาเฟียชาวต่างชาติถึงขั้นมีการทำร้ายร่างกายกันเอง ระหว่างกลุ่มนักท่องเที่ยวที่แฝงตัวเข้ามาในลักษณะนักท่องเที่ยวหรือฟรีวีซ่า เนื่องจากต้องการแย่งลูกค้ากันเอง โดยตั้งตนเป็นมาเฟีย มาประกอบอาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวต่างๆ ขายให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวใน จ.ภูเก็ต รวมถึงการจับแขกหรือชักจูงให้ใช้บริการของพวกตน ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยไม่เกรงกลัวเจ้าหน้าที่ที่สามารถจับกุมได้ ทั้งนี้ปัญหาชาวต่างชาติ โดยเฉพาะรัสเซียที่แอบแฝงเข้ามาในจังหวัดภูเก็ตประกอบอาชีพแย่งคนไทย ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านในพื้นที่ บางรายต้องหารายได้อื่นเสริมเพื่อความอยู่รอด เนื่องจากถูกกีดกันไปหมดเกือบทุกช่องทาง
       
       ด้าน นายวีระ เกิดศิริมงคล นายอำเภอกะทู้ เปิดเผยว่า ได้รับการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยว และผู้ประกอบการถึงปัญหาดังกล่าวมาจำนวนมาก โดยเจ้าหน้าที่มิได้นิ่งเฉย และได้มีการจัดกำลังออกตรวจสอบจับกุมในหลาย ๆ พื้นที่ แต่ความเป็นจริงที่พบคือ เจ้าหน้าที่ทำได้แค่เพียงจับกุมผู้ต้องหาได้ที่ปลายเหตุมาดำเนินคดี คือ ลูกจ้างชาวต่างชาติ และดำเนินคดีข้อหาไม่มีใบอนุญาตทำงานเท่านั้น ประกอบกับเมื่อตรวจสอบไปยังสถานประกอบการท่องเที่ยวครบวงจรต่าง ๆนั้น พบว่ามีใบอนุญาตจดทะเบียน โดยใช้ชื่อคนไทย ซึ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นนอมินี เรื่องนี้ต้องช่วยกันหลายฝ่าย เนื่องจากมีหลายหน่วยงานทีเกี่ยวข้องกับปัญหา ต้องรีบแก้ไขก่อนที่จะทำลายการท่องเที่ยวไปมากกว่า รวมถึงการนำรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศก็จะหายไป แต่กลับเป็นว่ามีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงามของเราไปจนเสียหายหมดคนในพื้นที่หรือประเทศชาติไม่ได้อะไรเลย


ข้อมูลจาก.. ASTV Manager ภาคใต้