วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เจ้าของเกสต์เฮาส์โร่แจงสื่อ ถูก “เสธ.อ” ข่มขู่หลังซื้อที่ดินเกาะยาวน้อยพังงา



เจ้าของเกสต์เฮาส์โร่แจงสื่อ หลังซื้อที่ดินบนเกาะยาวน้อย จ.พังงา เนื้อที่กว่า 9 ไร่เศษ เป็นระยะเวลากว่า 2 ปี แต่กลับถูก เสธ.ออ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ใช้อิทธิพลเข้าข่มขู่-คุกคาม รวมทั้งพยายามยึดครองสถานที่ ด้านเจ้าตัวมั่นใจในสัญญาซื้อขาย วอนเจ้าหน้าที่รัฐเร่งตรวจสอบ
      
       เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 28 ส.ค.56 ที่โรงแรมชิโนเฮ้าส์ ถ.นริศร ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต น.ส.ญาณกวี เลิศวิบูลย์มงคล เจ้าของธุรกิจเกสต์เฮาส์ พร้อมด้วย นายฐิติพงศ์ บุนนาค ทนายความ เดินทางเข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชน หลังซื้อที่ดินพร้อมร้านอาหารแหลมไทรซีฟู๊ด ต.เกาะยาวน้อย อ.เกาะยาวน้อย จ.พังงา รวมเนื้อที่กว่า 9 ไร่ 53.3 ตารางวา อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่กลับถูกผู้มีอิทธิพลเข้ามาครอบครองพื้นที่ดังกล่าว และโดนกีดกันจนไม่สามารถเข้าไปประกอบกิจการ มิหนำซ้ำ ยังมีนำชายฉกรรจ์จำนวนมากเข้ามาข่มขู่ ประกอบกับมีการอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง สังกัดกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ จึงอยากวิงวอนขอความเป็นธรรมให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาช่วยตรวจสอบ
      
       น.ส.ญาณกวี เลิศวิบูลย์มงคล เจ้าของธุรกิจเกสต์เฮาส์ กล่าวว่า ตอนนี้ทำอะไรไม่ถูก เนื่องจากเกิดความเกรงกลัว เพราะที่ผ่านมา ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแปลงดังกล่าวเดิมเป็นของนายบัญญัติ กล้าสมุทร และนางปวีณา สำเภารัตน์ ได้มีการเสนอขายให้แก่ตน โดยมีการซื้อขายโดยสุจริต และจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดพังงา เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2555 แต่ปรากฏว่า เมื่อเดินทางไปถึงพื้นที่ก็พบมีกลุ่มบุคคลเข้ามาครอบครองใช้ประโยชน์ ดังนั้น ตนจึงใช้กล้องถ่ายรูปบันทึกไว้เป็นหลักฐาน แต่ก็ถูกชายฉกรรจ์เข้ามาทำร้าย และแย่งกล้องถ่ายรูปไป ทางตนจึงเข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีไว้กับพนักงานสอบสวนที่ สภ.เกาะยาวน้อย ภายหลังจึงทราบว่า ผู้ที่เข้ามาครอบครองที่ดิน คือ นายธิติ ส่งตระกูล จึงมอบหมายให้ทนายความดำเนินคดีฟ้องร้อง นายธิติ กับพวก รวม 5 คน ฐานความผิดร่วมกันบุกรุก ทั้งนี้ 1 ในนั้นเป็นลูกน้องของนายธิติ เคยหลบหนีคดีอาญาในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และมีหมายศาลของจังหวัดตรัง รวมอยู่ด้วย
      
       ต่อมา เมื่อนายธิติ และพวกได้รับหมายศาลจึงเกิดความเกรงกลัว ได้หลบหนีออกจากที่ดินผืนดังกล่าวทันที โดยเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2555 ที่ผ่านมา ทางตน และทนายความจึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบอีกครั้ง ปรากฏว่า พบอาวุธปืนลูกซอง จำนวน 2 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน อีกทั้งอุปกรณ์ในร้านอาหาร เฟอร์นิเจอร์ ข้าวของเครื่องใช้ ยังถูกทำลายเป็นจำนวนมาก จึงแจ้งความลงบันทึกประจำวัน และมอบอาวุธปืนให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นก็ได้มอบหมายให้ลูกน้องของตน ชื่อว่า นายแมว เข้าไปช่วยดูแลพื้นที่แทน อย่างไรก็ตาม จนถึงวันที่ 24 สิงหาคม 2555 ก็ได้มีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งเดินทางมากับเรือ พร้อมบุกเข้ามาในที่ดินของตน และหนึ่งในนั้นได้แสดงบัตรเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และมีการพูดจาข่มขู่ แสดงตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ดังนั้น เมื่อนายแมว เห็นทีท่าว่าไม่ดีจึงรีบแจ้งไปยังฝ่ายปกครองในพื้นที่ เข้ามาร่วมเจรจา และนำเอกสารสิทธิการถือครองมาแสดง สุดท้ายกลุ่มชายฉกรรจ์ที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงเดินทางกลับในที่สุด
      
       น.ส.ญาณกวี กล่าวทั้งน้ำตาว่า ตนได้รับโทรศัพท์ขอนัดคุยที่สถานที่แห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต จากกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ตนและทนายความจึงรับปาก ปรากฏว่า เมื่อมาถึงสถานที่นัดหมายก็พบกลุ่มชายฉกรรจ์ จำนวน 5-6 คน พร้อมกับมีการถามไถ่ว่า ตนเป็นเจ้าของที่ดินพื้นที่แหลมไทร ใช่หรือไม่ ตนจึงตอบว่าใช่ และได้นำเอกสารการซื้อขายโฉนดผืนดังกล่าว แสดงให้แก่กลุ่มชายฉกรรจ์ ซึ่งหนึ่งในนั้นได้มีแนะนำตัวเองว่า ชื่อ เสธ.อักษรย่อ อ. และแสดงบัตรที่แขวนอยู่ที่คอให้ดู อีกทั้งยังมีการหยิบสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ระหว่าง นายบัญญัติ กล้าสมุทร และนางปวีณา สำเภารัตน์ ผู้จะขาย กับ นายธิติ ส่งตระกูล ผู้จะซื้อ ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2554 ให้ตนดู โดยยังได้แนบหนังสือร้องเรียนเรื่องพฤติกรรมของตนต่อดีเอสไอ ภาค 8 ด้วย และบอกต่อว่า หากมีการตรวจสอบการได้มาที่ดินไม่ถูกต้อง จะให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐยกเลิกโฉนดที่ดินฉบับที่ตนถือครองอยู่ ที่สำคัญยังมีการข่มขู่ให้ออกไปจากพื้นที่ แต่ตนได้ปฏิเสธ เนื่องจากมั่นใจในการได้มาของโฉนดที่ดินแปลงนี้ว่ามีความโปร่งใส และถูกต้อง
      
       ขณะเดียวกัน เมื่อตนเห็นว่า เสธ.คนดังกล่าว เป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อดีเอสไอ ภาค 8 ยื่นให้แก่ เสธ.โดยตรง ซึ่งผู้เจรจาก็ปฏิเสธ และบอกว่า สังกัดดีเอสไอ ภาค 9 รับเรื่องไว้ไม่ได้ พร้อมแจ้งให้ทำหนังสือเสนอไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ส่วนกลางแทน ดังนั้น จากนี้ไปก็จะทำหนังสือยื่นเรื่องต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ขอให้ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้ความเป็นธรรมต่อตน เพราะที่ผ่านมา เป็นระยะเวลากว่า 2 ปี ตนไม่สามารถเข้าไปประกอบกิจการบนเนื้อที่ดังกล่าวได้ เนื่องจากถูกกลุ่มผู้มีอิทธิพลคุกคามตลอดเวลา ทั้งๆ ที่โฉนดที่ดิน ตนก็มีการซื้อขายตามกฎหมาย สามารถตรวจสอบได้ แต่อีกฝ่ายกลับเข้ามายึดครองพร้อมอ้างสิทธิเช่นกัน
      
       ด้าน นายฐิติพงศ์ บุนนาค เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 เจ้าของที่ดินได้ประกาศขายที่ดินแปลงดังกล่าวรวมร้านอาหาร จากนั้นวันที่ 17 ตุลาคม 2554 นายธิติ ได้ติดต่อพร้อมทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ระหว่าง นายบัญญัติ กล้าสมุทร และนางปวีณา สำเภารัตน์ ผู้จะขาย กับ นายธิติ ส่งตระกูล ผู้จะซื้อ เอาไว้ในราคาประมาณ 15 ล้านบาท จากนั้นในวันที่ 21 ตุลาคม 2554 หรืออีก 4 วันต่อมา ทั้ง 2 ฝ่าย ได้เดินทางไปที่สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนประจำจังหวัดกระบี่ หรือ ศคช. เพื่อทำสัญญาฉบับใหม่ โดยระบุเอาไว้ว่า จะมีการจ่ายเงินเป็นงวดๆ ซึ่งงวดแรกตรงกับเดือนมกราคม 2555 ทั้งนี้ พอถึงเวลา นายธิติ เองก็ไม่มีการจ่ายเงินตามที่ตกลง จึงถือว่าสัญญาการจะซื้อจะขายในครั้งล่าสุดหมดอายุตามเงื่อนไขระยะเวลา รวมทั้งจากการตรวจสอบในสัญญาฉบับใหม่ก็ไม่ปรากฏถึงขอบเขตระยะเวลาสิ้นสุดการชำระเงิน ซึ่งในทางกฎหมายการทำสัญญาไม่ครบองค์ประกอบแบบนี้ ถือว่าเป็นโมฆะ แต่ทางด้านของ นายธิติ และกลุ่มบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ กลับนำเอกสารสัญญาฉบับนี้มาแสดง ขณะเดียวกัน ทางฝั่งของ น.ส.ญาณกวี ก็ได้เริ่มทำสัญญาจะซื้อจะขายโฉนดที่ดินแปลงนี้ เมื่อเดือนเมษายน 2555 และมีการตรวจสอบที่ไปที่มาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ทุกวันนี้กลับถูกผู้มีอิทธิพลคุกคามจนไม่สามารถทำอะไรในพื้นที่ดังกล่าวได้ในที่สุด


ข้อมูลจาก.. ASTV Manager ภาคใต้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นทั่วไป ใช้คำสุภาพ